(บทความนี้แผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2019 ทางบล็อกเก่าของ natTP)
เพียงแค่เรียกชื่อของฉัน เราก็จะเชื่อมถึงกันเสมอ
Violet Evergarden เป็นอนิเมะซีรีส์ที่สร้างโดยสตูดิโอ Kyoto Animation และฉายจบไปในช่วงต้นปี 2018 เรื่องนี้เป็นที่รู้จักจากงานภาพที่ละเอียดละออเกินมาตรฐานอนิเมะทั่วๆ ไป เนื้อเรื่องสวยงามที่ทำคนน้ำตาแตกมาแล้วนักต่อนัก และนางเอกที่ราวกับร่างแยกของเซเบอร์ใน Fate...
ซึ่งตอนนี้ภาคพิเศษที่เป็นอนิเมะมูฟวี่ อย่าง Violet Evergarden -Eternity and the Auto Memory Doll- ก็ได้เข้าฉายในไทยแล้วจ้าาา เราจึงอยากจะมาพูดคุยเกี่ยวกับความประทับใจหลังจากดูสักนิด
บอกก่อนว่า คนไม่เคยดูอนิเมะเรื่องนี้ ก็ดูตัวหนังรู้เรื่องนะ เพียงแต่อาจไม่มีการปูเกี่ยวกับไวโอเล็ตมากนัก ถ้าดูเรื่องหลักมาแล้วจะเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของไวโอเล็ตมากกว่าเยอะ
(บทความนี้จะขอเล่าสำหรับคนที่ไม่เคยดู Violet Evergarden มาก่อนด้วยค่ะ)
เรื่องย่อ
ภาคหลักของ Violet Evergarden ติดตามเรื่องราวของไวโอเล็ต เอเวอร์การ์เด็น เด็กสาวผู้ถูกฝึกให้เป็นทหารและเติบโตมาท่ามกลางสงคราม ที่ต้องปรับตัวและตามหาความหมายในชีวิตของตัวเองหลังจากที่สงครามจบลง เธอเลือกทำงานเป็น “ออโต้เมมโมรี่ดอลล์” ซึ่งมีหน้าที่เขียนจดหมายให้กับลูกค้า เพื่อสื่อสารความรู้สึกของพวกเขาออกมาผ่านตัวอักษร
อนิเมะแต่ละตอนจะเป็นเกี่ยวกับงานแต่ละงานที่ไวโอเล็ตได้รับ พร้อมไปกับการเติบโตของไวโอเล็ต จากเด็กสาวทื่อๆ สู่การเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ และคำว่า_รัก_
ซึ่งภาคพิเศษนี้เป็นเนื้อเรื่องเพิ่มเติมจากในอนิเมะ ไวโอเล็ตได้รับงานให้ไปดูแลและสอนการเข้าสังคมให้กับคุณหนูอิซาเบลลาแห่งตระกูลยอร์ก นำไปสู่การช่วยเขียนจดหมายให้กับอิซาเบลลา เพื่อส่งให้น้องสาวที่พลัดพรากกันไประหว่างสงคราม
ความประทับใจ
เนื้อเรื่อง
ไม่บ่อยนักที่เรื่องที่จบลงอย่างดีแล้วจะมีภาคต่อหรือเนื้อหาเพิ่มเติมที่ช่วยยกระดับเนื้อหาขึ้นไปได้อีก แต่ภาพยนตร์ภาคพิเศษเรื่องนี้สามารถเสริมเนื้อเรื่องหลักได้ดีมาก ราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวมาตั้งแต่ต้นเลยด้วยซ้ำ อาจจะด้วยรูปแบบของภาคหลักที่ออกแนวจบในตอน ทำให้ Eternity and the Auto Memory Doll เป็นเหมือนอนิเมะเพิ่มอีกตอนหนึ่ง ที่ยาวกว่าตอนปกติแค่นิดเดียว
ส่วนของเนื้อเรื่องออกไปทางอบอุ่นหัวใจ ดูแล้วมีความสุข ยอมรับว่าช่วงต้นๆ นำเสนอออกมาออกจะเรียบๆ และหม่นๆ เล็กน้อย แต่เมื่อเรื่องราวผ่านไป สารที่หนังต้องการสื่อก็จะเริ่มปรากฎ พร้อมกับฉากที่ชวนให้ยิ้ม จนออกมาจากโรงด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ
ประเด็นสำคัญของเนื้อเรื่องมีทั้งพลังของจดหมาย ความรักและสายสัมพันธ์ระหว่างกัน และเด็กน้อยน่ารัก - เอ้ย - ถูกแล้วน่า!
งานภาพ
จุดเด่นของ Violet Evergarden อย่างงานภาพที่ละเอียดละออนั้น ก็ยังคงมาตรฐานไว้ได้อย่างดี ไม่ค่อยมีอะไรที่จะพูดเพิ่มเติม ถ้าจะให้หวีด ก็คงบอกว่าแสงเงาสวยมวากกกกกกก สวยแบบเหนือธรรมชาติไปแล้ว
ดนตรีประกอบ
ในส่วนของดนตรีประกอบ ภาพยนตร์ใช้ซาวนด์แทร็กจากอนิเมะที่คนที่ดูมาแล้วคงจะคุ้นหู ในระหว่างเรื่องมีการใช้ความเงียบอย่างน่าสนใจ หลายฉากที่จำได้มีเพียงเสียง ambient ที่พื้นหลังประกอบกับการพูดคุยกัน (ที่ไม่เยอะมาก) ของตัวละคร ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังแอบแง้มมองเสี้ยวหนึ่งของชีวิตของตัวละครมากกว่ากำลังดูหนังซะอีก
ส่วนเพลงประกอบนั้น ชื่อว่า “Amy” โดย Chihara Minori ชื่อของเพลงมีความสำคัญกับเรื่อง แต่สำคัญยังไง คงต้องเข้าไปหาคำตอบกันเอาเองนะ~
สรุป
สำหรับใครที่เป็นแฟนของเรื่อง Violet Evergarden อยู่แล้ว คงต้องบอกว่าไม่ควรพลาด ส่วนใครที่ไม่ได้รู้จักเรื่องนี้แต่รู้สึกสนใจ ถ้าชอบเรื่องทำนองที่ซึ้งแต่ไม่หวือหวาก็คุ้มที่จะดูแน่นอน
ภาพยนตร์แบบนี้ส่วนใหญ่จะเข้าโรงไม่นานนัก ประมาณสัก 1 สัปดาห์ รีบไปก่อนจะออกจากโรงนะ! (และถ้าใครยังไม่ดู อนิเมะ Violet Evergarden มีให้ดูอย่างถูกลิขสิทธิ์บน Netflix จ้า)